เรียนเก่งไม่เท่า 'ทำเป็น': 5 เรื่องจริงของ 'สมรรถนะ' ที่จะเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการศึกษาไปตลอดกาล

7 ตุลาคม 2025

เรียนเก่งไม่เท่า ‘ทำเป็น’ : 5 เรื่องจริงของ ‘สมรรถนะ’ ที่จะเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการศึกษาไปตลอดกาล

 

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมเด็กบางคนเรียนเก่ง ได้เกรดดีเยี่ยม แต่เมื่อต้องนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงกลับทำไม่ได้? ปัญหาที่ผู้เรียนไม่สามารถนำความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะต่างๆ ที่เรียนมาไปประยุกต์ใช้ในการทำงานและชีวิตประจำวันได้ คือช่องว่างสำคัญที่การศึกษาในปัจจุบันกำลังเผชิญหน้า นี่คือจุดที่คำว่า “สมรรถนะ” (Competency) เข้ามามีบทบาทสำคัญ

“สมรรถนะ” คือการเปลี่ยนจุดเน้นของการศึกษา จากเดิมที่ถามว่า “เด็กรู้อะไร” ไปสู่คำถามใหม่ที่ทรงพลังกว่าคือ “เด็กทำอะไรได้” จากความรู้เหล่านั้น บทความนี้จะพาไปสำรวจ 5 เรื่องจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับแนวคิดด้าน “สมรรถนะ” ที่จะช่วยให้เราเข้าใจหัวใจของการเรียนรู้เพื่อชีวิตอย่างแท้จริง

 

ไม่ใช่แค่รู้สูตรคูณ แต่คือการจัดงานเลี้ยงให้สำเร็จ

สมรรถนะ คือการเปลี่ยนกรอบความคิดว่าเราเรียนไปเพื่ออะไร จากเดิมที่เน้นการท่องจำเนื้อหา มาสู่การนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์จริง

ลองนึกภาพโจทย์คณิตศาสตร์ที่ต่างออกไป แทนที่จะถามแค่สูตรคำนวณ ครูอาจตั้งสถานการณ์ว่า “โรงเรียนจะจัดงานเลี้ยงสำหรับแขก 200 คน นักเรียนช่วยกันวางแผนหน่อยว่าจะต้องสั่งอาหารและเครื่องดื่มเท่าไหร่”

ความท้าทายของโจทย์นี้ไม่ใช่แค่การคำนวณ แต่คือการแก้ปัญหาด้านโลจิสติกส์ที่ซับซ้อน นักเรียนต้องคิดเผื่อว่าอาจมีผู้จำหน่ายอาหารบางรายส่งของมาไม่ครบตามจำนวน ต้องวางแผนสำรองตามหลัก “เหลือดีกว่าขาด” และต้องใช้ทักษะคณิตศาสตร์เพื่อแก้โจทย์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่ตัวเลขบนหน้ากระดาษ แต่คือ “ความสำเร็จของงานเลี้ยง” นี่คือตัวอย่างของ “สมรรถนะคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน” ที่เชื่อมโยงความรู้ในห้องเรียนเข้ากับโจทย์ที่จับต้องได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งนี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลัง เพราะมันทำให้การเรียนรู้มีความหมายและนำไปใช้ได้จริง

 

เราทุกคนมี ‘สมรรถนะ’ อยู่แล้ว แค่ไม่เคยเรียกมันแบบนั้น

คำว่า “สมรรถนะ” ไม่ใช่ศัพท์วิชาการที่ไกลตัวหรือเกิดขึ้นเฉพาะในโรงเรียน แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนพัฒนาและใช้งานอยู่ทุกวันในชีวิตประจำวัน

ตัวอย่างเช่น พนักงานออฟฟิศ 2 คนที่ได้รับเงินเดือนเท่ากัน แต่คนหนึ่งสามารถบริหารจัดการการเงินได้ดีกว่า มีเงินเก็บ และมีชีวิตที่มั่นคงกว่า นั่นเป็นเพราะเขามี “ทักษะชีวิต” ในการจัดการการเงิน ซึ่งก็คือสมรรถนะอย่างหนึ่งนั่นเอง

หรือในระดับครอบครัว การที่พ่อแม่สอนให้ลูกช่วยทำงานบ้าน ก็ไม่ใช่แค่การสั่งให้ทำงาน แต่เป็นการปลูกฝังทักษะและความรับผิดชอบ ซึ่งถือเป็นการสร้างสมรรถนะในการทำงานให้เกิดกับเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ เรื่องนี้นับเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญ เพราะมันทำให้แนวคิดเรื่องสมรรถนะเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายและแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้เพื่อสร้างสมรรถนะนั้นเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทั้งในและนอกห้องเรียน

 

เปลี่ยนจากคำถาม “เด็กรู้อะไร” เป็น “เด็กทำอะไรได้”

หัวใจสำคัญที่ทำให้หลักสูตรฐานสมรรถนะแตกต่างจากหลักสูตรแบบดั้งเดิม (Standard-Based Curriculum) คือการเปลี่ยนเป้าหมายของการเรียนรู้โดยสิ้นเชิง

หลักสูตรแบบดั้งเดิมจะมุ่งเน้นไปที่ เนื้อหา เป็นหลัก โดยกำหนดว่า “ผู้เรียนจะต้องรู้อะไร” ในแต่ละระดับชั้น

ในทางตรงกันข้าม หลักสูตรฐานสมรรถนะจะมุ่งเน้นไปที่ การนำไปใช้ โดยกำหนดว่า “ผู้เรียนจะต้องทำอะไรได้” เป็นเป้าหมายสูงสุด ซึ่งเป็นการย้ายน้ำหนักจาก “เนื้อหาสาระ” ไปสู่การพัฒนา “ทักษะ” และความสามารถในการปฏิบัติจริง

หลักสูตรฐานสมรรถนะจะแตกต่างจากหลักสูตรปัจจุบันตรงที่การกำหนดเป้าหมาย โดยจะมุ่งไปที่สมรรถนะของผู้เรียนว่า ผู้เรียนจะต้องทำอะไรได้ ซึ่งต่างจากหลักสูตรเดิมที่มุ่งเน้นไปที่ผู้เรียนจะต้องรู้อะไร

 

สมรรถนะ ไม่ใช่แค่ ‘ทักษะ’ แต่คือส่วนผสมของความรู้ ทักษะ และ ‘ใจ’

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า “สมรรถนะ” เป็นเพียงคำใหม่ที่ใช้เรียกแทนคำว่า “ทักษะ” (Skill) แต่ในความเป็นจริงแล้ว สมรรถนะมีความหมายที่ลึกซึ้งและกว้างกว่านั้นมาก โดยประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่:

  • ความรู้และความเข้าใจ (Knowledge and Understanding): การมีความรู้ในเรื่องที่จะทำ
  • ทักษะ (Skills): ความสามารถในการลงมือปฏิบัติจริง
  • เจตคติ แรงจูงใจ (Attitude and Motivation): คุณลักษณะภายใน เช่น ความรับผิดชอบ ความมุ่งมั่น และความใส่ใจ หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ใจ” ที่อยากจะทำงานนั้นให้ดี

ลองนึกถึงข้าราชการ 2 คนที่ได้รับมอบหมายงานเดียวกัน ทั้งคู่อาจมีความรู้และทักษะพื้นฐานไม่ต่างกัน แต่คนที่สองทำงานออกมาได้ดีกว่า เพราะเขาไม่เพียงแต่ทำงานตามสั่ง แต่ยัง “รู้จักแสวงหาและใช้ความรู้ใหม่ๆ ในการทำงาน” แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและความตั้งใจที่สูงกว่า สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ทั้งสองจะมี ความรู้ ในระเบียบและมี ทักษะ ในการปฏิบัติงาน แต่เป็น เจตคติ ที่กระตือรือร้นของคนที่สองที่ปลดล็อกสมรรถนะเต็มศักยภาพและสร้างผลลัพธ์ที่เหนือกว่า องค์ประกอบทั้งสามจึงต้องทำงานร่วมกันเสมอ

 

เปลี่ยนนักเรียนจาก ‘ผู้เรียน’ ให้เป็น ‘นักแก้ปัญหา’ ตัวจริง

เป้าหมายสูงสุดของการศึกษาฐานสมรรถนะ คือการสร้างผู้เรียนให้เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่สามารถแก้ปัญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้สังคมได้จริง

มีตัวอย่างที่น่าประทับใจของกลุ่มนักเรียนที่พบว่าในหมู่บ้านของตนเองมีปัญหาขยะส่งกลิ่นเหม็น แทนที่พวกเขาจะแค่เรียนรู้เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมในตำรา พวกเขากลับลงมือทำจริง เริ่มจากการสืบหาต้นตอของปัญหา ไปปรึกษาผู้ใหญ่บ้านเพื่อหาทางออก และร่วมกันดำเนินการแก้ไข นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของ “สมรรถนะการเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้”

แนวทางนี้ไม่ได้มุ่งสร้างแค่โครงงานที่จบในเทอม แต่มีเป้าประสงค์เพื่อบ่มเพาะพลเมืองแห่งอนาคตที่ไม่รอให้ใครมาสั่ง แต่พร้อมลุกขึ้นมาเป็นผู้ลงมือทำ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้ดีขึ้น นี่คือหัวใจของการสร้างนักแก้ปัญหาที่สังคมต้องการอย่างแท้จริง

 

Preparing for Life, Not Just for an Exam

โดยสรุปแล้ว “สมรรถนะ” คือการเตรียมความพร้อมให้เด็กมีทั้งความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตและประสบความสำเร็จในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่แค่การเรียนเพื่อสอบให้ผ่านไปวันๆ

เมื่อมองไปในอนาคต คำถามสำคัญอาจไม่ใช่ว่าลูกหลานของเรากำลังเรียนรู้อะไร แต่คือพวกเขากำลังจะ “ทำอะไรเป็น” จากความรู้เหล่านั้น?

 

 

 


สรุปจากหนังสือ: เข้าใจสมรรถนะอย่างง่าย ๆ ฉบับประชาชน และเข้าใจหลักสูตรฐานสมรรถนะอย่างง่ายๆ ฉบับครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา

  • Reflective by NotebookLM
  • Graphic by Google AI Studio
  • Prompt by Aitsara Sotthisong
การขับเคลื่อนการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของผู้เรียน ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษากรุงเทพมหานคร