“ครูไม่ใช่ผู้สอน เด็กไม่ใช่ผู้เรียน” บทเรียนจากสตูลโมเดล ที่เปลี่ยนห้องเรียนเป็นพื้นที่ชีวิต
บทสัมภาษณ์นายอาณัติ มีบุญ ศึกษาธิการจังหวัดสตูล มุมมองการศึกษาจากพื้นที่ชายแดนใต้ ที่สะท้อนพลังของชุมชน ครู และเด็ก ในการสร้างระบบการเรียนรู้ที่มีชีวิตจริง
“สุดท้าย…ถ้าผู้บริหารไม่เอาด้วย ต่อให้เรามีทั้งเขตพื้นที่ ทั้งศึกษานิเทศก์ หรือคณะกรรมการต่าง ๆ มันก็เดินไม่ได้เต็มที่หรอกครับ”
— อาณัติ มีบุญ
บทที่ 1 การกลับบ้าน เพื่อเริ่มต้นบทใหม่ของการศึกษา
“ผมเป็นคนสตูลครับ” ท่านอาณัติเปิดบทสนทนาด้วยความอบอุ่น หลังจากผ่านประสบการณ์การทำงานในหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นแพร่ ระนอง หรือยะลา การกลับสู่บ้านเกิดครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสถานที่ทำงาน แต่คือการกลับมาเพื่อ “เปลี่ยนวิธีคิด” ของระบบการศึกษาในพื้นที่
“ตอนอยู่ยะลา เรามีมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลาที่ช่วยเหลือโรงเรียนต่าง ๆ ได้ดีมาก มีทั้งอาจารย์เก่ง ๆ และศูนย์การเรียนรู้ แต่สตูลไม่มีมหาวิทยาลัยครับ เราต้องพึ่งพากันเอง”
แม้จะไม่มีเครือข่ายวิชาการหนุนหลัง แต่สิ่งที่สตูลมีคือ “ความร่วมมือ” และ “หัวใจ” ของคนในพื้นที่
“คนที่นี่ไม่ดื้อครับ เข้าใจง่าย ทำงานด้วยแล้วสบายใจ ผมถือว่าโชคดีมาก”
“หัวไม่ดื้อ” คือจุดเปลี่ยนการศึกษา
ท่านอาณัติเล่าว่า หากเปรียบเทียบบริบทระหว่างยะลาและสตูล จะเห็นความแตกต่างหลายด้านอย่างชัดเจน ในยะลา แม้จะมีความพร้อมในแง่ของทรัพยากรจากมหาวิทยาลัยและผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็มักเจอข้อจำกัดด้านศาสนาและความมั่นคง ซึ่งบางครั้งส่งผลต่อความคล่องตัวในการนิเทศและลงพื้นที่ ขณะที่สตูล แม้จะขาดสถาบันวิชาการและหน่วยงานภายนอก แต่กลับมีจุดแข็งคือ “ความสงบ” และ “วัฒนธรรมการทำงานที่ร่วมมือกัน” สิ่งเหล่านี้ทำให้การขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมในจังหวัดสตูล แม้จะเริ่มช้ากว่า แต่กลับเดินหน้าได้อย่างมั่นคง
บทที่ 2 หลักสูตรที่ตอบโจทย์พื้นที่: ไม่ใช่แค่เปลี่ยน “เนื้อหา” แต่เป็gน “วิธีคิด”
โรงเรียนนำร่อง 10 แห่ง สู่เครือข่าย 20+1 ที่ขับเคลื่อนจริง พื้นที่นวัตกรรมในจังหวัดสตูลเริ่มต้นในปี 2562 ด้วยโรงเรียนนำร่องจำนวน 10 แห่ง และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทุกปี
ปีการศึกษา |
โรงเรียนเพิ่ม |
รวมทั้งหมด |
2562 |
– |
10 โรงเรียน |
2563 |
+4 |
14 โรงเรียน |
2564 |
+2 |
16 โรงเรียน |
2565 |
+1 |
17 โรงเรียน |
2566 |
+3 (+1 เกาะหลีเป๊ะ) |
21 โรงเรียน |
จากข้อมูลจะเห็นว่า มีเพิ่มขึ้น 4 โรงเรียน ในปี 2563, 2 โรงเรียน ในปี 2564, 1 โรงเรียนในปี 2565 และ 3 โรงเรียนในปี 2566 โดยกำลังจะเพิ่มอีกหนึ่งแห่งคือ โรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะ รวมเป็น 21 แห่งในปีนี้ ซึ่งท่านอาณัติกล่าวว่า โรงเรียนเหล่านี้เข้าร่วมด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่เพราะนโยบายกดดัน แต่เพราะเข้าใจและเห็นคุณค่าในการพัฒนารูปแบบการศึกษาใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กในพื้นที่
นอกจากนี้ สิ่งที่โดดเด่นในพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดสตูล คือ การจัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับศักยภาพของโรงเรียนและความต้องการของพื้นที่ โดยมีโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะถึง 13 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 65 ของโรงเรียนนำร่องทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีโรงเรียน ที่ใช้หลักสูตรแบบผสมผสาน (ประเภทที่ 2) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายและความยืดหยุ่นของการจัดการเรียนรู้ในพื้นที่
“เราไม่ได้สอนเพื่อสอบเท่านั้น แต่สอนให้เด็กมีทักษะ มีชีวิต และพร้อมทำงานจริงในพื้นที่ของเขาเอง”
ประเภทหลักสูตร |
จำนวนโรงเรียน |
สัดส่วน |
ประเภทที่ 3 (ฐานสมรรถนะ) |
13 |
65% |
ประเภทที่ 1 |
6 |
30% |
ประเภทที่ 2 |
1 |
5% |
การประเมินผลแบบ 360 องศา: วัดผลแบบที่เห็นเด็กทั้งคน
หนึ่งในคำพูดสำคัญที่ท่านอาณัติ มีบุญ พูดกับผู้เขียน คือ… “เราไม่ได้อยากเห็นแค่คะแนนโอเน็ตดีขึ้น แต่เราอยากเห็นว่าเด็กคิดได้ พูดได้ ทำงานกับคนอื่นได้ไหม” จากแนวคิดนี้ พื้นที่นวัตกรรมจังหวัดสตูลจึงเริ่มต้น “ทบทวนกระบวนการวัดผล” ใหม่ทั้งหมด โดยไม่ได้ยกเลิกระบบเดิม แต่ “เติมระบบที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของเด็กมากขึ้น” เข้าไปควบคู่กัน
การสอบสมรรถนะ: เปลี่ยนจากการวัด “คะแนน” สู่การวัด “คุณภาพชีวิตการเรียนรู้”
หนึ่งในก้าวสำคัญของจังหวัดสตูลที่ผ่านมา คือการทดลองใช้แบบทดสอบใหม่ ที่ไม่เพียงแค่วัดผลการเรียนแบบเดิม แต่เป็นการวัด สมรรถนะของนักเรียนในบริบทจริง
โดยมีความร่วมมือระหว่าง:
- มหาวิทยาลัยทักษิณ (ด้านการออกแบบแบบทดสอบและวิเคราะห์ผล)
- ครูและผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ (ด้านการดำเนินการและสังเกตพฤติกรรม)
- เครือข่าย Satun Coaching Forum (ด้านการหนุนเสริม และถอดบทเรียน)
จุดเน้นของการสอบ ไม่ใช่แค่ว่า “เด็กตอบคำถามได้กี่ข้อ” แต่คือ…
- เด็กสามารถสื่อสารแนวคิดของตัวเองได้ไหม?
- รู้จักฟังและโต้ตอบกับผู้อื่นหรือเปล่า?
- มีความพยายาม มีวิธีคิดอย่างเป็นระบบแค่ไหน?
การสอบออกแบบให้มีทั้งกิจกรรมกลุ่ม การสังเกตพฤติกรรมระหว่างทำงาน และการสะท้อนความคิดของเด็ก
5 นวัตกรรมที่เปลี่ยนโรงเรียนเป็นพื้นที่ชีวิต
เมื่อถามถึง “นวัตกรรม” ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล ท่านอาณัติได้ระบุอย่างชัดเจนว่า มี 2 แนวทางหลักที่เปลี่ยน “ห้องเรียนแบบเดิม” ให้กลายเป็น “พื้นที่ชีวิต” ของเด็กๆ ได้ คือ
- RBL (Research-Based Learning)
- ครูสามเส้า
- Learning Space & หลักสูตรสิ่งแวดล้อม
- Digital Platform และการวัดผล 360 องศา
- Satun Coaching Forum
- RBL (Research-Based Learning): โครงงานที่ฝึกให้เด็กคิด และลงมือทำจริง
RBL (Research-Based Learning)
ถูกใช้ในโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะทั้งหมด (13 แห่ง) และยังถูกนำไปปรับใช้ในอีกหลายโรงเรียนนำร่อง แม้ไม่ได้เปลี่ยนหลักสูตรก็ตามRBL มีโครงสร้าง 14 ขั้นตอน ตั้งแต่การตั้งคำถาม ไปจนถึงการนำเสนอผล และการสะท้อนการเรียนรู้ ท่านอาณัติอธิบายว่า
“เราไม่ได้ให้เด็กแค่ทำโครงงานส่งครู แต่เขาต้องรู้ว่าทำไปเพื่ออะไร และใครจะได้ประโยชน์”
ตัวอย่างจากโรงเรียนในพื้นที่
- โรงเรียนบ้านโคตา ใช้ RBL สร้างโครงงานการพัฒนาอาหารพื้นบ้านร่วมกับชุมชน
- โรงเรียนตันหยงกาโบยชัยพัฒนา ดึงโครงงานท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับภูมิปัญญามลายูมาใช้ในห้องเรียน
ครูสามเส้า : สร้างการเรียนรู้จากคนรอบตัวเด็ก
ครูสามเส้า คือ ระบบการทำงานร่วมกันของ 3 ฝ่ายที่ห้อมล้อมเด็ก คือ
- ครูโรงเรียน: ผู้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
- ครูชุมชน: ปราชญ์ท้องถิ่น ผู้สูงอายุ เกษตรกร ฯลฯ
- ครูพ่อแม่: ผู้ปกครองที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่ “รับรู้ผลการเรียน”
“ตอนที่ผมเห็นครูพ่อแม่เข้ามาอธิบายวิธีทำกับข้าวให้เด็กอนุบาล แล้วให้เด็กเขียนขั้นตอนออกมาเอง… ผมรู้เลยว่า มันคือการเรียนรู้แบบมีชีวิต”
กรณีศึกษาจากโรงเรียนอนุบาลสตูล ถือเป็นต้นแบบที่ใช้โมเดลนี้มาก่อนที่จะมีนโยบายพื้นที่นวัตกรรมเสียอีก โดยมีอาจารย์สุทธิ (อดีตผู้อำนวยการ) เป็นผู้เริ่มต้นแนวคิดนี้กว่า 10 ปีก่อน
Learning Space & หลักสูตรสิ่งแวดล้อม: นอกห้องเรียนก็เรียนได้
เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทและทักษะชีวิตของเด็ก หลายโรงเรียนพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ในรูปแบบ “Learning Space” ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เช่น
- พื้นที่ปลูกผัก สวนสมุนไพร
- ลานกิจกรรมกลางแจ้ง
- พื้นที่จัดนิทรรศการผลงานนักเรียน
ขณะเดียวกัน โรงเรียนมัธยมในพื้นที่ เช่น โรงเรียนควนกาหลง เริ่มใช้ หลักสูตรสิ่งแวดล้อม ที่เชื่อมโยงกับอุทยานธรณีโลกสตูล (Satun Geopark) และธุรกิจสีเขียวในชุมชน
Digital Platform และการวัดผล 360 องศา
จังหวัดสตูลกำลังพัฒนา “Digital Platform” ที่รวบรวมข้อมูลของโรงเรียนนำร่องทั้งหมด ทั้งด้าน
- ข้อมูลนักเรียน
- ข้อมูลครู
- นวัตกรรมที่ใช้
- ผลสัมฤทธิ์ด้านสมรรถนะ
ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก อบจ. สตูล รวม 1.2 ล้านบาท และเพิ่มเติมอีก 200,000 บาท ในปีล่าสุด “Digital Platform จะไม่เพียงเป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล แต่คือ ‘หัวใจของการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์’ ที่ทำให้การเรียนรู้มีหลักฐาน มีทิศทาง และมีความรับผิดชอบ (accountability) อย่างแท้จริง”
Satun Coaching Forum: ครูพี่เลี้ยงที่เติมเต็มระบบ
Satun Coaching Forum คือเครือข่าย “ครูพี่เลี้ยงในพื้นที่” ที่มีบทบาทสำคัญมาก ทั้งในด้าน
- ช่วยครูใหม่หรือโรงเรียนใหม่เข้าสู่ระบบนวัตกรรม
- พัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติแก่ครูผู้สอน
- เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่จัดโดยครูในพื้นที่เอง
สรุปมิติ “นวัตกรรมสตูล” ที่เชื่อมโยงเป็นระบบ
ด้าน |
นวัตกรรมที่เด่น |
กลไกสนับสนุน |
การเรียนรู้ |
RBL, ครูสามเส้า, หลักสูตรสิ่งแวดล้อม |
ครูในพื้นที่, Satun Coaching Forum |
พื้นที่การเรียนรู้ |
Learning Space ใน-นอกโรงเรียน |
ชุมชน, อปท. |
เทคโนโลยี |
Digital Platform |
อบจ. สตูล (งบกว่า 1.2 ลบ.) |
การประเมินผล |
การวัดผล 360° / สมรรถนะ |
ม.ทักษิณ, ผู้อำนวยการโรงเรียน |
การขยายผล |
ครูพี่เลี้ยง (Coaching Forum), ผอ. Mindset ดี |
โรงเรียนโกตา, ตันหยงกาโบยฯ |
บทที่ 3 “หลีเป๊ะโมเดล” กับห้องเรียนกลางทะเล
โรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะ เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่สะท้อนถึงการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทได้อย่างชัดเจน โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะในทะเลอันดามัน มีนักเรียนจำนวนมากที่เป็นชาวอูรักลาโว้ย หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ชาวเล” เป็นกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดสตูล เช่น เกาะหลีเป๊ะ คำว่า “อูรักลาโว้ย” มาจากภาษามลายู โดย “อูรัก” แปลว่า “คน” และ “ลาโว้ย” แปลว่า “ทะเล” รวมกันหมายถึง “คนทะเล” ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนขนาดเล็กในชุมชนชาวเล (อูรักลาโว้ย) ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากฝั่ง และมีข้อจำกัดหลายด้าน:
- เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษาเพียงแห่งเดียวบนเกาะ
- นักเรียนที่จบ ป.6 เดิมต้องย้ายออกไปเรียนที่ฝั่ง หรือหยุดเรียน
- ครอบครัวหลายครัวเรือนไม่สามารถส่งลูกไปเรียนต่อไกล ๆ ได้
- มีความหลากหลายทางภาษา (เช่น มลายู–ไทย) และวัฒนธรรมเฉพาะ
โรงเรียนจึงจัดการเรียนรู้โดยมุ่งเน้นไปที่ “ทักษะอาชีพ” เช่น ภาษา การบริการ และการสื่อสาร มากกว่าการเรียนเชิงวิชาการแบบเดิม เพื่อให้เด็กสามารถประกอบอาชีพในชุมชนตนเองได้ในอนาคต เช่น
- ไกด์นำเที่ยว
- พนักงานโรงแรม
- ผู้ประกอบการ
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่เกิดขึ้นคือ “ห้องเรียนมัธยมในโรงเรียนประถม” ซึ่งดำเนินการร่วมกับโรงเรียนสุริยา โดยจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ มีครูอัตราจ้างประจำเกาะดูแลเด็กนักเรียน โดยใช้พื้นที่โรงเรียนประถมเดิมเป็นฐาน และพัฒนาแนวทางเรียนรู้ร่วมกัน ดังนี้
รูปแบบการสอน |
ระบบออนไลน์ผสมกิจกรรมภาคสนาม |
บุคลากร |
ครูประจำ 1 คน, สนับสนุนโดยครูจากโรงเรียนสุริยา |
จำนวนนักเรียน |
19 คน |
การจัดการเรียนรู้ |
ใช้สื่อออนไลน์ + โครงงานท้องถิ่น (RBL) |
จุดเน้น |
ภาษา, ทักษะอาชีพบริการ, ความเป็นพลเมือง |
บทที่ 4 เปลี่ยน Mindset ของครูและนักเรียน: หัวใจของการเปลี่ยนระบบ
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เนื้อหา แต่อยู่ที่ “วิธีคิด” โดย “ครูต้องเชื่อว่าเด็กไม่ใช่แค่ผู้รับความรู้ และเด็กก็ต้องเชื่อว่าตัวเองมีคุณค่าในการตั้งคำถาม” พื้นที่นวัตกรรมจังหวัดสตูลจึงเน้นพัฒนา “Soft Skills” โดยเฉพาะในระดับมัธยมต้น ซึ่งเป็นช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ
ทักษะที่เน้นเป็นพิเศษ ได้แก่
- การทำงานเป็นทีม
- การสื่อสาร
- การควบคุมอารมณ์
- ภาวะผู้นำ
บทที่ 5 เสน่ห์ของสตูล: พื้นที่เล็กที่ทำงานได้ใหญ่
เมื่อพูดถึงเสน่ห์ของจังหวัดสตูล ท่านอาณัติกล่าวอย่างจริงใจว่า ความพิเศษของที่นี่คือ “ความร่วมมือแบบไม่มีอีโก้” ทุกคนรู้จักกัน เชื่อใจกัน และพร้อมเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน “อบจ. สนับสนุนอย่างเต็มที่ มหาวิทยาลัยทักษิณก็ช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เราไม่ได้มีทุนหนา แต่เรามี ‘ทุนใจ’ ที่แข็งแรงมาก” แม้สตูลจะมีความก้าวหน้า แต่ก็มี 3 ประเด็นสำคัญที่ระบบระดับชาติต้องร่วมแก้:
- การโยกย้ายผู้อำนวยการโรงเรียน “ผอ. คือหัวใจ ถ้าเขาย้าย เราอาจต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่”
- ครูยังไม่เข้าใจหลักสูตรฐานสมรรถนะ แม้จะมีการอบรมแล้วหลายครั้ง แต่หลายคนยังยึดติดวิธีสอนเดิม และยังไม่เข้าใจการประเมินสมรรถนะอย่างลึกซึ้ง
- ระบบ Digital Platform ยังไม่สมบูรณ์แม้ได้รับงบกว่า 1.2 ล้านบาท แต่ยังอยู่ระหว่างการกรอกข้อมูล และยังไม่เชื่อมโยงสู่การใช้เชิงบริหารอย่างเต็มรูปแบบ
จากผู้เขียน
เมื่อผู้เขียนได้ใช้เวลาร่วมพูดคุยกับท่านอาณัติ มีบุญ ศึกษาธิการจังหวัดสตูล ทำให้พบว่า “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดสตูล” ไม่ได้เป็นเพียงโครงการตามยุทธศาสตร์ หรือคำสวยหรู แต่คือ “พื้นที่ที่มีความกล้า” ของผู้คนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รอให้ใครมาจัดการ แต่ลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเองที่นี่มีครู ผู้อำนวยการ พ่อแม่ ปราชญ์ชาวบ้าน และเด็ก ๆ ที่ไม่เพียงแต่อยากเรียน แต่ “อยากรู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร”และเมื่อพวกเขาเริ่มตั้งคำถามนี้ การเรียนรู้จึงกลายเป็นเรื่องที่มีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ“ครูไม่ใช่ผู้สอน เด็กไม่ใช่ผู้เรียน แต่ทุกคนคือผู้สร้างการเรียนรู้ร่วมกัน” บทเรียนจากสตูลทำให้เราเห็นชัดว่า “นวัตกรรม” ไม่จำเป็นต้องเป็นหลักสูตรใหม่ หรือเครื่องมือใหม่ แต่คือความสัมพันธ์ที่ถูกปลุกให้กลับมามีความหมายอีกครั้ง และหากการศึกษาของไทยจะเปลี่ยนได้จริง — เราควรถามตัวเองว่า… เรากำลังฟังเสียงของ “พื้นที่” เพียงพอแล้วหรือยัง? และหากคำตอบคือ “ยัง” — สตูลกำลังเป็นหนึ่งในเสียงที่น่าฟังที่สุดในขณะนี้
บทสัมภาษณ์
- อาณัติ มีบุญ ศึกษาธิการจังหวัดสตูล
เรียบเรียง/ปก
-
: นิฎฐา ขุนนุช นักจัดการงานทั่วไป สบน. สนก. สพฐ.
Editor
- อิศรา โสทธิสงค์ นักวิชาการศึกษา สบน. สนก. สพฐ.